Botox คืออะไร
“โบท็อกซ์” (Botox) คือชื่อทางการค้าของ “Botulinum toxin type A” สารสกัดจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum ที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการทำงานของเซลล์ประสาท ส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัว
โดยโบท็อกซ์จะมีสารออกฤทธิ์หลักสองตัวที่ทำงานร่วมกันเพื่อหยุดการทำงานของกล้ามเนื้อ:
1. Heavy Chain:
ตัวนี้ทำหน้าที่พาโบท็อกซ์เข้าสู่เซลล์ประสาท
2. Light Chain:
ตัวนี้ทำงานร่วมกับ SNARE proteins เพื่อหยุดการปล่อย Acetylcholine ที่ปลายประสาท ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้ เมื่อกล้ามเนื้อทำงานน้อยลงก็จะเล็กลงหรือคลายตัวมากขึ้น
ส่วนที่ไม่ถูกดูดซึมเข้าเซลล์ประสาทจะถูกปล่อยไปในกระแสเลือดและถูกขับออกจากร่างกายภายใน 1 ชั่วโมงหลังฉีด โดยไม่ส่งผลต่อเซลล์อื่น ๆ ส่วนโบท็อกซ์ที่เข้าสู่เซลล์จะค่อย ๆ สลายตามธรรมชาติ ไม่มีสารตกค้าง
โบท็อกซ์ใช้ทำอะไรได้บ้าง?
โดยปกติโบท็อกซ์จะเริ่มออกฤทธิ์ใน 2-7 วัน และเต็มที่ใน 2-4 สัปดาห์ และคงอยู่ได้นาน 4-6 เดือน
ช่วยลดริ้วรอยบนหน้าผาก หางตา หรือระหว่างคิ้ว รวมถึงริ้วรอยเล็ก ๆ จากการแสดงสีหน้า ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนและตึงกระชับขึ้น
ช่วยปรับหน้าให้เรียวขึ้น โดยการลดขนาดกราม และกล้ามเนื้อบริเวณกราม เหมาะกับคนที่มีกล้ามเนื้อบริเวณกรามใหญ่
ช่วยให้กรอบหน้าชัดขึ้น ด้วยการลิฟท์หน้าและยกกระชับกรอบหน้าให้หน้าดูเรียวยิ่งขึ้น
ลดเหงื่อ เช่น ที่รักแร้, ฝ่ามือ และฝ่าเท้า
ลดอาการปวด เช่น ไมเกรน ปวดหลัง
ลดขนาดน่องที่มีขนาดใหญ่จากการออกกำลังกายให้ดูเรียวเล็กขึ้น
ลดขนาดกล้ามแขน กล้ามเนื้อบริเวณบ่า
โบท็อกซ์แต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างไร?
รู้ไหมว่าโบท็อกซ์แต่ละยี่ห้อมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน? ทั้งเรื่องของการผลิต ความบริสุทธิ์ของตัวยา โปรตีนคอมเพล็กซ์ และขนาดโมเลกุล ทุกองค์ประกอบนี้ส่งผลต่อประสิทธิภาพและระยะเวลาการออกฤทธิ์ของโบท็อกซ์
มาดูความแตกต่างของโบท็อกซ์กันแบบง่าย ๆ:
1. ขนาด Molecule Complex ของโบท็อกซ์
โบท็อกซ์ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ๆ ที่ทำงานร่วมกัน:
- Accessories protein (750kDa): ช่วยปกป้องและนำพาโบท็อกซ์ไปถึงปลายเส้นประสาทได้อย่างปลอดภัย
- Heavy chain (100kDa): เป็นเหมือนกุญแจที่พาโบท็อกซ์เข้าไปในเซลล์เส้นประสาท
- Light chain (50kDa): คือส่วนที่ช่วยระงับการทำงานของกล้ามเนื้อ
2. ความบริสุทธิ์ของโบท็อกซ์และโปรตีนคอมเพล็กซ์
โบท็อกซ์เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถสลายออกได้ทั้งหมดโดยไม่มีผลข้างเคียง แต่สำหรับบางคน ร่างกายอาจสร้างแอนติบอดีเพื่อต่อต้านโบท็อกซ์ได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดื้อโบท็อกซ์ หรือที่เรียกว่า “Botox resistance” เมื่อร่างกายดื้อโบท็อกซ์ แอนติบอดีจะจับตัวกับโบท็อกซ์ที่ฉีดเข้าไป ทำให้โบท็อกซ์ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ตามที่ต้องการ
อาการดื้อโบท็อกซ์สามารถเกิดขึ้นได้จากโปรตีนทั้งสามส่วนที่ประกอบเป็นโบท็อกซ์ ตามที่กล่าวถึงในข้อ A โดยส่วนที่สาม ซึ่งเป็น botulinum toxin type A นั้น แทบจะเหมือนกันในทุกยี่ห้อ ความแตกต่างเล็กน้อยนั้นมาจากสายพันธุ์ของเชื้อเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ส่วนที่หนึ่งและสองของโบท็อกซ์ในแต่ละยี่ห้อจะมีความแตกต่างกัน ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพและความเสี่ยงต่อการเกิดการดื้อโบท็อกซ์แตกต่างกันไปตามยี่ห้อ
ดังนั้น การเลือกใช้โบท็อกซ์ที่เหมาะสม ควรพิจารณาถึงความบริสุทธิ์ของตัวยาและองค์ประกอบโปรตีน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงในการเกิดการดื้อโบท็อกซ์ในระยะยาว
แล้วโบท็อกซ์แต่ละยี่ห้อต่างกันยังไง? ขึ้นอยู่กับวิธีการกระจายตัวของโบท็อกซ์:
- กระจายตัวแคบ (เช่น Botox Allergan): เหมาะกับการฉีดเพื่อให้ตรงจุดมากที่สุด แต่ก็ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ไม่งั้นอาจได้ผลลัพธ์ที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ
- กระจายตัวกว้าง (เช่น Xeomin, Nabota): เหมาะกับการยกกระชับหน้าแบบเป็นธรรมชาติและลดขนาดกล้ามเนื้อในบริเวณกว้าง ๆ แต่ผลลัพธ์อาจไม่คงทนนานเท่ากับแบบกระจายตัวแคบ
- ดังนั้นการเลือกใช้โบท็อกซ์ยี่ห้อไหนให้เหมาะกับความต้องการ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดูดีและปลอดภัยที่สุด!
Xeomin (โบท็อกซ์เยอรมัน)
โบท็อกซ์ Xeomin จากเยอรมนี ถูกพัฒนาขึ้นโดยการมีจุดเด่นเรื่องมีความบริสุทธิ์สูง แต่ตัวยาไม่กระจุกตัวแคบเกินไป ทำให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ตึงจนเกินไป นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่บ่งชี้ว่า Xeomin สามารถใช้ได้ดีในผู้ที่มีภาวะดื้อยา โดยที่ผู้ป่วยต้องหยุดการฉีดโบท็อกซ์มานานอย่างน้อย 2-3 ปี ทั้งนี้ ราคาโบท็อกซ์ Xeomin จะค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับโบท็อกซ์เกาหลี แต่ถูกกว่าโบท็อกซ์อเมริกา
Nabota (โบท็อกซ์จากเกาหลี)
Nabota เป็นโบท็อกซ์จากเกาหลีที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) ตั้งแต่ปี 2018 โดยเป็นโบท็อกซ์เกาหลีแบรนด์เดียวที่ผ่านมาตรฐานนี้ จุดเด่นของ Nabota คือการออกฤทธิ์ที่รวดเร็ว ซึ่งจากประสบการณ์ของหมอ พบว่า Nabota ให้ผลลัพธ์ที่เร็วกว่าโบท็อกซ์เกาหลีแบรนด์อื่นเล็กน้อย จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบทันใจ
การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์ควรทำยังไงดี?
ก่อนฉีดโบท็อกซ์ควรปฏิบัติตนดังนี้
หยุดใช้ยากลุ่มกรดวิตามิน A, AHA, สครับหน้า 1-2 วัน
งดใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs และวิตามินที่อาจทำให้เกิดรอยช้ำ เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา สารสกัดจากใบแปะก๊วย 1 สัปดาห์
งดแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงก่อนฉีด
ถ้ามีประวัติโรคเริม ควรแจ้งแพทย์ก่อนฉีด
หลังฉีดโบท็อกซ์ต้องดูแลยังไง?
ขยับและบริหารกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดบ่อยๆ ใน 15-30 นาทีแรก
เพื่อให้ยาเข้าไปทำงานได้ดีขึ้น เช่น ถ้าฉีดที่กรามแนะนำเคี้ยวหมากฝรั่ง หรือ กัดฟันกราม สลับสองข้าง ประมาน 15-30 นาที หรือถ้าฉีดบริเวณหน้าผากและหางตา แนะนำให้เลิกคิ้ว หยีตา ขมวดคิ้ว ประมาน 2-5 ครั้ง
ห้ามกดหรือนวดบริเวณที่ฉีด
หลังการรักษาทันที อาจมีรอยนูนในบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะยุบลงเองใน 2-3 ชม. ห้ามกดหรือนวดในจุดนั้นๆ เพราะอาจทำให้โบท็อกซ์จะกระจายผิดที่
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีความร้อนสูง ประมาณ 2 สัปดาห์
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีความร้อนสูง เช่น อบไอน้ำ เซาว์น่า เลเซอร์ รวมถึงเครื่องยกกระชับต่างๆ หรือการทำอาหารหน้าเตาร้อน ประมาณ 2 สัปดาห์
งดการกดนวดใบหน้าหลังทำการรักษาประมาน 2 สัปดาห์
เพราะอาจทำให้โบท็อกซ์จะกระจายผิดที่
งดนอนราบ นอนคว่ำ และก้มหัวต่ำกว่าบริเวณอกนานๆ ภายใน 3 ชม. หลังฉีด
งดออกกำลังกายหนักๆ หรือเล่นโยคะใน 4 ชั่วโมงแรก
งดใช้ครีมที่อาจระคายเคืองผิว 24 ชั่วโมงหลังจากฉีด
งดใช้ครีมที่อาจระคายเคืองผิว เช่น กรดวิตามินเอ, AHA หรือวิตามินซี เป็นเวลา 24 ชั่วโมง
ประคบน้ำแข็ง และทายาแก้ฟกช้ำบริเวณที่เป็นรอยช้ำ
ในกรณีที่มีรอยช้ำ หรือรอบเข็มบริเวณที่ฉีด แนะนำให้ประคบน้ำแข็ง และทายาแก้ฟกช้ำในบริเวณนั้นเบาๆ
อ่านต่อเพิ่มเติม วิธีการดูแลหลังฉีดโบท็อกซ์
การฉีดโบท็อกซ์จะเห็นผลลัพธ์หลังจากฉีดนานเท่าไร และผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานแค่ไหน
ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกซ์จะเริ่มเห็นใน 2-7 วัน และเห็นชัดที่สุดใน 2-4 สัปดาห์หลังจากที่ทำหัตถการไป และจะสามารถคงอยู่ได้นาน 4-6 เดือน
หากมีข้อสงสัยหรือพบสิ่งผิดปกติหลังจากทำการรักษา ควรรีบปรึกษาแพทย์ หรือติดต่อคลินิกทันที